ที่มาของภาพ : http://board.palungjit.com
ช่วงนี้มีข่าวเกี่ยวกับพระ เป็นข่าวใหญ่ยึดหน้าหนึ่ง นอกจากนี้ยังแพร่กระจายไปยังโลกอินเทอร์เน็ต วิพากษ์วิจารณ์กันมันปาก นั้นคือพระที่มีทรัพย์สินสฤงคารมากเป็นพิเศษ เช่น รถหรู เครื่องบินเจ็ท เครื่องใช้ไม้สอยที่หรูหรา ระดับแบรนด์เนมดัง นอกจากนี้ยังมีพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมเช่น เสพยาเสพติด ค้ายาเสพติด และพฤติกรรมทางเพศด้วย
ที่จริงข่าวพวกนี้มีมาตลอดทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แม๊ๆพระก็มาจากคนที่ผ่านพิธีกรรมการบวช หรืออีกนัยหนึ่งก็คนที่ผ่านพิธีกรรมเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ
ที่จริงข่าวพวกนี้มีมาตลอดทำให้ผู้เขียนมีความรู้สึกว่ามันเป็นเรื่องธรรมดา แม๊ๆพระก็มาจากคนที่ผ่านพิธีกรรมการบวช หรืออีกนัยหนึ่งก็คนที่ผ่านพิธีกรรมเป็นนักบวชในศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธนับแต่กำเนิดขึ้นจนถึงปัจจุบันก็ผ่านมาไม่น้อยกว่า 2,500 ปี เป้าหมายสูงสุดของผู้เข้ามาเป็นนักบวชของศาสนาพุทธคือบรรลุธรรมระดับอรหันต์ หรือที่เราเรียกว่าสภาวะนิพพาน หมดสิ้นกิเลส แม้มีโคโยตี้เปลือยกายมาเต้นต่อหน้าก็ไม่รู้สึกรู้สา
แต่ถ้าปฏิบัติธรรมไม่ถึงระดับดังกล่าว หรือยังไม่พ้นสภาวะปุถุชน ยังมีกิเลส ศัตรูที่สำคัญคือผู้หญิง ยศ ลาภสักการะ แม้ในช่วงที่พระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ชีพเรื่องพวกนี้ก็เกิดขึ้นเป็นประจำ ไม่ใช่เพิ่งมาเกิดเอาในช่วงนี้
พุทธศาสนาใช่ว่าจะมีแค่พระ แต่มีผู้เกี่ยวข้องที่สำคัญมีนามเรียกขานว่าพุทธบริษัทซะด้วย ซึ่งมีด้วยกัน 4 อย่างคือ
1. ภิกษุ นั้นคือนักบวช หรือเรียกง่ายๆว่าพระ มีที่อยุ่เป็นสัดส่วนแยกจากชาวบ้าน ในอดีตมีการอยู่ตามถ้ำ โคนต้นไม้ ตามป่าเขาที่เรามักเรียกว่าพระป่า อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านแต่สร้างที่อยู่เป็นเอกเทศเราเรียกว่าวัด มักเรียกว่าพระบ้าน (แต่มีคนเคยถามว่าวัดอะไรไม่มีพระจำพรรษา) การแต่งองค์ทรงเครื่อง มีแค่ 3 ชิ้น ที่เราเรียกว่าไตรจีวร ประกอบด้วยผ้านุ่งและผ้าห่ม อันได้แก่สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) อุตราสงฆ์ (ผ้าจีวรสำหรับห่ม) และอันตรวาสก (สบงสำหรับนุ่ง) สีก็ไม่ได้มีหลากสีเน้นโทนสีเหลือง บางคนอาจเห็นสีเหลืองคล้ำนิยมในหมู่พระสายป่าหรือสีกรัก ส่วนเครื่องใช้ไม้สอยมี 8 อย่างที่เรียกว่าอัฐบริขาร สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อน) บาตร มีดโกน เข็ม ประคดเอว ธมกรก (ที่กรองน้ำ) ของพวกนี้เอาไว้ใส่ในพิธีกรรมการบวช แต่ปัจจุบันในชีวิตจริงของผู้เขียนที่ผ่านการบวชเมื่อบวชแล้วเข็มก็ไม่ได้ใช้ ที่กรองน้ำก็ไม่ได้ใช้
ส่วนการประพฤติปฏิบัติตนหรือการดำเนินชีวิตก็ต้องสำรวม หมั่นศึกษาธรรม รักษาศีล 227 ข้อ ทำสมาธิกิจวัตรมี 10 ประการที่สำคัญ ดังนี้
๑. ลงอุโบสถ
๒. บิณบาตเลี้ยงชีพ
๓. สวดมนต์ไหว้พระ
๔. กวาดอาวาสวิหารลานเจดีย์
๕. รักษาผ้าครอง
๖. อยู่ปริวาสกรรม
๗. โกนผมปลงหนวดตัดเล็บ
๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙. เทศนาบัติ
๑๐. พิจารณาปัจจเวกขณะทั้ง ๔ เป็นต้น1. ภิกษุ นั้นคือนักบวช หรือเรียกง่ายๆว่าพระ มีที่อยุ่เป็นสัดส่วนแยกจากชาวบ้าน ในอดีตมีการอยู่ตามถ้ำ โคนต้นไม้ ตามป่าเขาที่เรามักเรียกว่าพระป่า อีกกลุ่มหนึ่งอยู่ในหมู่บ้านแต่สร้างที่อยู่เป็นเอกเทศเราเรียกว่าวัด มักเรียกว่าพระบ้าน (แต่มีคนเคยถามว่าวัดอะไรไม่มีพระจำพรรษา) การแต่งองค์ทรงเครื่อง มีแค่ 3 ชิ้น ที่เราเรียกว่าไตรจีวร ประกอบด้วยผ้านุ่งและผ้าห่ม อันได้แก่สังฆาฏิ (ผ้าพาดบ่า) อุตราสงฆ์ (ผ้าจีวรสำหรับห่ม) และอันตรวาสก (สบงสำหรับนุ่ง) สีก็ไม่ได้มีหลากสีเน้นโทนสีเหลือง บางคนอาจเห็นสีเหลืองคล้ำนิยมในหมู่พระสายป่าหรือสีกรัก ส่วนเครื่องใช้ไม้สอยมี 8 อย่างที่เรียกว่าอัฐบริขาร สบง (ผ้านุ่ง) จีวร (ผ้าห่ม) สังฆาฏิ (ผ้าซ้อน) บาตร มีดโกน เข็ม ประคดเอว ธมกรก (ที่กรองน้ำ) ของพวกนี้เอาไว้ใส่ในพิธีกรรมการบวช แต่ปัจจุบันในชีวิตจริงของผู้เขียนที่ผ่านการบวชเมื่อบวชแล้วเข็มก็ไม่ได้ใช้ ที่กรองน้ำก็ไม่ได้ใช้
ส่วนการประพฤติปฏิบัติตนหรือการดำเนินชีวิตก็ต้องสำรวม หมั่นศึกษาธรรม รักษาศีล 227 ข้อ ทำสมาธิกิจวัตรมี 10 ประการที่สำคัญ ดังนี้
๑. ลงอุโบสถ
๒. บิณบาตเลี้ยงชีพ
๓. สวดมนต์ไหว้พระ
๔. กวาดอาวาสวิหารลานเจดีย์
๕. รักษาผ้าครอง
๖. อยู่ปริวาสกรรม
๗. โกนผมปลงหนวดตัดเล็บ
๘. ศึกษาสิกขาบทและปฏิบัติพระอาจารย์
๙. เทศนาบัติ
ระดับการบรรลุธรรมของนักบวชพุทธศาสนามีอยู่ 4 ระดับคือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ เรียกว่าอริยบุคคล พ้นจากปุถุชน มีในบทสวดมนต์บทพระสังฆคุณ
2. ภิกษุณี คือนักบวชที่เป็นผู้หญิง ในประเทศไทยไม่แน่ใจว่ามีอยู่หรือไม่เพราะพิธีกรรมยุ่งยากศีลก็เยอะตั้ง 311 ข้อ ไม่รู้ว่ามีคนสับสนกับแม่ชีหรือเปล่า
3. อุบาสก คือผู้ที่ไม่ใช่นักบวช เป็นชาวบ้านเพศชายที่เลื่อมใสศรัทธาและนับถือพุทธศาสนา มีพิธีกรรมเหมือนกันนั้นคือกล่าวคำนับถือพระรัตนตรัย รับศีล 5 ถ้าพิเศษในวันพระจะนับถือศีล 8 หน้าที่ของอุบาสกจะว่าไปแล้วเป็นผู้อุปถัมภ์ค้ำชู เพราะว่าภิกษุ ภิกษุณีไม่ได้ประกอบอาชีพ ประเภทบ้านไม่ได้เช่า ข้าวไม่ได้ซื้อ กับข้าวไม่ได้ทำ ซึ่งศัพท์ของคำว่าภิกษุคือผู้ขอ ที่เราเรียกว่าบิณฑบาตร ถ้าไม่มีอุบาสกหรือไม่มีคนนับถือพุทธศาสนา คงไม่มีใครให้ที่อยู่ ให้ยา ให้ข้าว ให้น้ำ(รถหรู เครื่องบินเจ็ท .(ฮา) แก่ภิกษุ
4. อุบาสิกา เช่นเดียวกับอุบาสก แต่เป็นเพศหญิง ที่จริงคำว่าอุบาสกแปลว่าผู้นั่งใกล้พระรัตนตรัย เป็นกำลังสำคัญที่คอยส่งข้าวส่งน้ำ แล้วผลตอบแทนที่ได้นั้นคือผลบุญ ความสุขทางใจ แต่ส่วนมากเมื่อทำบุญก็ สาธุขอให้ร่ำรวย สาธุขอให้ถูกหวย ขอให้เกิดเป็นเทวดา อย่าตกนรก (ฮา)
บทสรุปคือ พระก็แค่คนธรรมดาที่ผ่านพิธีกรรมการบวชที่ปัจจุบันมีคนประชดการบวชว่าคนที่บวชมีสาเหตุมาจาก “บวชรัก - บวชลอง - บวชครองประเพณี - บวชหนีสงสาร - บวชผลาญข้าวสุก - บวชสนุกตามเพื่อน - บวชหนีอกหัก - บวชหลักลอย - บวชคอยงาน - บวชสังขารเสื่อม - บวชเพราะเมียไล่ไปบวช” (ฮา) เมื่อเป็นคนธรรมดามาบวชก็ย่อมมีโอกาสพลาดที่จะประพฤติตนไม่เหมาะสม แต่มองในมุมกลับ ใครน้ออยากได้บุญเยอะ บุญมหาศาลจนถวายรถหรู เครื่องบินเจ็ท เงินทอง ฯลฯ แล้วใครผิดใครถูกพิจารณาเอาครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น